วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อกหักจริงๆ ทำใจไม่ได้

เพิ่งจะเลิกกันกับแฟน ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ คบกันมาจะ 9 ปีแล้ว ผูกผันกันเกินไป แต่อาจเป็นเพราะเราห่างกัน ช่วงเวลา 4 ปีในชีวิตรั้วมหาลัย ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัย เราก็ห่างกัน ตอกย้ำด้วยการอยู่กันคนละจังหวัด ที่หลายเดือนทีถึงจะได้เจอกัน ฉันเรียน เขาทำงาน งานที่โทรมาได้แค่วันละครั้งเพราะยุ่งมาก และโทรมาก็ได้แต่ถามคำถามซ้ำๆว่า "ทำอะไรอยู่" "กินข้าวรึยัง" "เด๋วพรุ่งนี้โทรไปนะ" เราไม่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่คนเป็นแฟนสมควรทำกัน ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ดูหนัง ซื้อของ ไม่มีจริงๆ ดีนะที่ยังมีเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้เรารู้สึกว่ายังใกล้กันอยู่บ้าง ที่ต้องเลิกกัน ไม่ได้มีเรื่องมือที่สามมาเกี่ยวข้อง อันนี้มั่นใจ แต่เป็นเพราะเราเริ่มโต เริ่มคิดถึงอนาคตมากขึ้น มากเกินไป พ่อฉันไม่ยอมรับเขา เขาเริ่มเร่งรัด ไม่ชอบการคบกันแบบหลบๆซ่อนๆ มีการโทรไปหาพ่อฉันที่บ้าน แต่แม่ยังไม่อยากให้คุย แม่บอกเขาว่าให้รออีกสักพัก แต่ดูเหมือนเขาจะรอไม่ไหว ส่วนฉันเองที่ตอนนี้กำลังวุ่นและกังวลกับการเรียนในเทอมสุดท้าย ที่งานเยอะและยากมาก อีกทั้งยังสับสนหาคำตอบไม่ได้ว่าจะเรียนต่อหรือทำงานดี พูดง่ายๆว่ายังไม่คิดเรื่องอนาคตของเรา หรือมันเป็นเพราะฉันที่ทำให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ทะเลาะกันบ่อยขึ้น จนในที่สุดต่างฝ่ายต่างคิดว่า ควรจบแค่นี้ ความจริงเราก็ทะเลาะกันบ่อย แต่คราวนี้ สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเขาก้าวก่ายเรื่องครอบครัวมากเกินไป ฉันอยากจะเป็นคนคุยกับพ่อแม่เอง ซึ่งฉันก็บอกแม่อยู่เรื่อยๆถึงความสัมพันธ์ของเรา แม่ก็เข้าใจเพราะเห็นเราคบกันมานานแล้ว ติดก็อยู่ที่พ่อ แล้วที่ฉันงงก็คือ หลังจากที่เขาโทรไปหาแม่ เขาโทรกลับมาบอกว่าอารมณ์ดีแล้ว พร้อมจะคุย เขาเล่าให้ฟังว่าแม่พูดกับเขาว่าอะไรบ้าง จากนั้นเขาก็บอกว่า "แค่นี้แหละที่อยากบอก ไม่ต้องมาเจอกันอีกนะ" บอกตรงๆงงมาก จะเอาไงกันแน่ แม่อุตส่าห์ยอมรับ จากนั้นฉันก็ไม่โทรหาเขา ประกอบกับที่ชาร์ตแบตหาย แบตร์หมด ขาดการติดต่ออาทิตย์กว่า เหมือนเขาจะคิดอะไรได้บางอย่าง หลังจากได้ชาร์ตแบต เขาก็โทรมาได้คุยกัน เขาบอกขอโทษ แต่ใจเราเริ่มที่จะทำใจและยอมรับการอยู่คนเดียวได้บ้างแล้ว ยังภาวนาอยู่ลึกๆว่าของอย่าให้เขาโทรมาเลย แต่ก็นะ เขาโทรมาแล้ว เราก็บอกเขาตามตรงว่าเราเริ่มทำใจได้แล้วนะ เขาก็ขอโทษ เราถามเขาว่าเขารักเรากี่เปอร์เซ็นต์ เขาบอก 100% ถัดจากนั้นมาไม่กี่วันจุดจบก็มาถึง ทะเลาะกัน เนื่องจากฉันไปกินหมูกระทะ ต่อด้วยคาราโอเกะ ตามประสาเพื่อนๆ ซึ่งตลอดเวลาที่คบกัน เขาไม่อยากให้ฉันไปไหนทั้งสิ้น ออกแนวสั่ง ชีวิตฉันอยู่แต่ในมหาลัยกับบ้าน เมื่อก่อนทำตามเขาสั่งอยู่หรอก แต่มาพักหลังเริ่มรู้สึกว่าเราควรจะทำในสิ่งที่ควรทำ จะได้ไม่ต้องมานึกเสียดายทีหลัง ก็มีแอบไปบ้าง เราตกลงกันแล้วว่า ฉันอยากทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ เขารับได้มั้ย เขาบอก"ได้" แต่ผลออกมามันคือไม่ได้ไง จากวันก่อนที่พูดดีนักดีหนา ประโยคที่ออกจากปากเขาแต่ละคำ บอกว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วบ้างหละ ที่ไม่เลิกกันฉันเป็นเพราะครอบครัวเขาชอบฉัน เขาเบื่อที่จะต้องคอยตอบคำถามครอบครัวเขาว่าฉันเป็นไงบ้าง เมื่อเห็นว่าเขาไม่คุยโทรศัพท์กับฉัน เสียดายเวลาบ้างหละ ทิ้งท้ายด้วยการส่งข้อความมาว่า ลาก่อน ชาติหน้าขออย่าให้ได้เจอกันอีกเลย รู้สึก! เหมือนโดนตบหน้าอ่ะ ผู้ชายที่ทำให้เราเทิดทูนความรัก รักมั่นคง รักนิรันนดร์ เวลาไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์เลย ความเชื่อมั่นในเรื่องความรักหมดสิ้น จะไปคบใครใหม่ก็มองว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับใครทั้งนั้น ฉันพลาดอะไรมาหลายๆอย่างแล้ว ฉันอยากทำใจ ฉันบล็อคเบอร์เขา พ่อแม่เขา ทุกทาง ฉันไม่อยากได้ยินเสียงเขาอีก ไม่อยากรับรู้ แต่ก็ยังมีบรรดาเพื่อนๆมาถามถึงเขาอยู่บ้างเป็นระยะๆ ได้ยินแล้วปวดใจ ฉันไม่ได้บอกใคร ไม่อยากให้ใครมาเวทนาสงสาร ยกเว้นเสียก็แต่เพื่อนๆสมัยเรียนที่อยู่กับเราตั้งแต่ยังไม่ได้คบกับเขา ฉันรู้ว่าฉันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไหร่หรอก ถ้ามองในมุมของเขา คงมีอะไรหลายๆอย่างที่แย่ เป็นครั้งแรกที่รับรู้ได้เลยว่า ในสายตาเขาไม่ได้มีความรักความห่วงใยให้ฉันอีก น่าแปลก คืนนั้น ฉันฝันถึงเขา ฝันว่าไปเดินหาซื้อของที่แสนจะเหนื่อยและน่าเบื่อ เขาทำท่าเบื่อเป็นบางเวลา แต่พอเห็นฉันเสียใจ เขาก็ตั้งแขนขึ้น ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เป็นนัยว่าให้ฉันควงแขนเขา และฉันก็ควงแขนเขา เดินไปด้วยกัน อบอุ่นมาก ตื่นมายังรู้สึกได้เลย ฉันจะเก็บเอาฝันนี้แหละมาเป็นความทรงจำดีๆของฉัน ที่คงไม่ได้จากตัวจริงเขาแน่ๆ บทสรุปส่งท้ายของฉันกับเขา คือ เราคบกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะรักกัน เพราะฉันอยากเปลี่ยนบางอย่าง เรื่องการดำเนินชีวิต ซึ่งเขารับไม่ได้ แต่ฉันอยากจะได้ อยากให้เขายอมรับสักนิด ฉันอยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง มันเหงานะเวลาที่เขาอยู่กับเราไม่ได้ และเราก็ไปไหนกับใครไม่ได้ เหมือนอยู่คนเดียวโดยแท้ คบกับเขาฉันก็ทรมานใจ เลิกกับเขายิ่งทรมานใจ ฉันคิดว่าเรื่องมันยังไม่จบ เพราะครอบครัวเขาต้องรู้เข้าซักวัน และต้องมาคุยกับฉันให้ได้แน่ๆ เอาสิ ฉันจะหนีไปให้ไกลๆเลย ไม่ให้ใครตามเจอ ตอนนี้อยากบอกเขาว่า ฉันขอโทษ ขอโทษที่ทำให้เขารู้สึกแย่ แต่ฉันก็ไม่อยากกลับไปคบกับเขาหรอกนะ เพียงแต่มันคิดถึง ก็เท่านั้นเอง....... 

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

twilight series

    เป็นคนหนึ่งที่ชอบนวนิยายเรื่องนี้มั่กมากกก...ถึงมากที่สุด เริ่มจากได้ดูภาคแรกที่ห้องสมุด ระหว่างรอน้องชายที่กำลังสอบรับตรงที่มหาลัย ไม่รู้จะดูเรื่องอะไร เผอิญเห็นชื่อเรื่อง twilght มันสั้นสุดก็เลยดู แม่เจ้า! พอดูจบ! สุดยอด! ชอบมาก! ไปดูกับเพื่อนกัน 2 คน เพื่อนบอก"มันมีภาค2 ด้วยนะที่มันขายบัตรล่วงหน้าวันนั้นไง" เราก็นึก มันนานมากแล้วนี่หว่าเป็นเดือนๆได้มั้ง "ออกโรงไปแล้วแน่เลย" เพื่อนบอก"บ้า ยังไม่เข้าเลย" เท่านั้นแหละไม่ว่ายังไงฉันก็จะไปดูภาค2ให้ได้

    ถึงตอนนี้ก็ดูครบทั้ง3ภาคเป็นปัจจุบันแล้ว คงจะเป็นเพราะหลงใหลในรักโรแมนติกระหว่างแวมไพร์รูปงามกับมนุษย์สาว ก็เลยซื้อหนังสือนวนิยายเรื่องนี้ยกชุดเลย ในหนังสือมีเรื่องราวมากกว่าในหนังเยอะ ยิ่งหลงรักเข้าไปใหญ่  

   หลายคนที่หลงรักหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นเพราะนักแสดงนำที่หล่อกินใจ ทั้งพระเอกแวมไพร์ และพระรองหมาป่า แต่สำหรับฉัน เทใจให้ แวมไพร์เอ็ดเวิร์ด! คนเดียว ^_^

    และตอนนี้ก็กำลังรอคอยภาค4 breaking down อยู่อย่างใจจดใจจ่อ เป็นภาคสุดท้าย แต่เรื่องมันยาว ได้ข่าวมาว่าจะแบ่งหนังออกเป็น2 ฟิล์ม เพราะกลัวว่ารายละเอียดดีๆมันจะอยู่ไม่ครบ

   สำหรับใครที่เป็นแฟนๆ twilight ก็อดใจรอหน่อย อีกไม่นานหรอก ภาค4 กำลังมาแล้ว เห็นว่าตอนนี้เร่งถ่ายทำอยู่ โดยเฉพาะฉากที่เบลล่าจะให้กำเนิดเด็กน้อย อยากรู้เหมือนกันว่าจะออกมาดูดีแค่ไหน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ปลายปีหน้าได้ดูกันแน่!http://www.hollywood.com/news/Twilight_Breaking_Dawn_Breaks_In_Two/6906869

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ลั๊ลลา....เกาะล้าน

  เมื่อสิ้นเดือนสิงหาที่ผ่านมาได้ไปเที่ยวที่เกาะล้าน ประทับใจมาก ทะเลสวย น้ำก็ใส ก็เลยเก็บภาพบรรยากาศมาเล่าสู่กันฟัง


จุดที่รถตู้มาจอด คือท่าเรือแหลมบาลีฮาย
 เริ่มออกเดินทางโดยมาขึ้นรถตู้ที่อนุเสาวรีย์ชัยฝั่งเซ็นจูรี่ มีทั้ง100บาท และ 97บาท (ขาไปไม่เจอ เจอขากลับ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั้วโมงกว่า ก็จะมาถึงที่ท่าเรือแหลมบาลีฮาย

ทางเดินไปขึ้นเรือที่จะข้ามไปเกาะล้าน
 ที่ท่าเรือจะมีจุดขายตั๋วสำหรับคนที่ไป-กลับ แต่ถ้าจะไปข้างคืนให้เดินไปขึ้นเรือเลย โดยจะมีคนเก็บตังค์ตอนที่เรือออกแล้ว คนละ 30 บาท เป็นเรือ 2 ชั้น ต้องไปก่อนเวลาเรือออก ไปนั่งรอในเรือเลย เพราะเรือจะออกตามเวลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงท่าเรือหน้าบ้าน แต่สำหรับคนที่ใจร้อนก็มีเรือสปีทโบ้ทบริการ ถ้าจำไม่ผิดประมาณคนละ 100 บาท

ถ่ายฝั่งพัทยา ตอนนั่งอยู่บนเรือ เห็นสวยดี
เราเลือกนั่งเรือที่ชั้น 2 ชั้นล่างมันดูอึดอัดยังไงไม่รุ ลองสังเกตในน้ำมีปลาตัวเล็กๆเต็มเลย เวลาเรือถอยออก มันจะกระโดดหนีกัน สวยดี แล้วพอแล่นเรือไปซักพัก จะเห็นแมงกระพรุนตัวใหญ่มากๆ ก็สวยดีเหมือนกัน แต่ที่เกาะล้านไม่เจอแมงกระพรุนนะ

บรรยากาศตรงท่าหน้าบ้าน คึกคักมาก
เมื่อไปถึงเกาะล้าน ตรงท่าหน้าบ้าน ก็จะมีบรรดาที่พักทั้งหลายแหล่ มารอรับบริการ แต่เราได้จองที่พักไว้ล่วงหน้าแล้ว ทางที่พักได้ส่งรถมารับที่ท่าเรือ เพราะไกลกว่าจะถึงที่พัก แต่ถ้าไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า คิดว่าที่พักคงไม่เต็ม เพราะบนเกาะมีที่พักเยอะมาก แต่ละที่สวยๆทั้งนั้น ที่กำลังสร้างก็มี (สงสัยคนจะมาเที่ยวเยอะมาก)

นี่คือที่พักของเรา ลุงกับป้าเจ้าของเป็นกันเองดี
เราไปถึงที่พักประมาณบ่ายสี่โมงครึ่ง ที่นี่สบายๆ เราพักคืนนึง แต่มาถึงก็เย็นแล้ว เลยถามเรื่องเวลาเช็คเอ้าท์ว่าต้องออกเที่ยงพรุ่งนี้ใช่มั้ย ป้าก็บอกว่าออกบ่ายๆก็ได้ไม่เป็นไร ก็เลยได้อยู่นานหน่อย พอเก็บของเสร็จก็เช่ารถมอไซต์ 2 คัน(ไปกันทั้งหมด 6 คน) คันละ 300 บาท น้ำมันครึ่งถัง แล้วก็ออกแว๊นกันเลย ดังนั้นใครที่จะไปเที่ยวเกาะล้าน ต้องมีคนที่ขี่มอไซต์เป็นด้วยนะ ไม่งั้นเที่ยวลำบากแน่

ที่นี่มีแมวน้อยมาต้อนรับเพียบเลย
ห้องพักจะทาสีสดทั้งภายนอกภายใน เป็นฉากถ่ายรูปที่สวยมาก
ที่แรกที่ไป หาดตาแหวนตอนเย็นวันศุกร์
บรรยากาศพระอาทิตย์ตกสุดคลาสสิก
 พอตกกลางคืนก็ไปหาร้านอาหารนั่งกินข้าวกัน มีหลายร้าน ไม่แพงมาก ที่หาดแหลมบาลีฮายจะมีบาร์เปิดอยู่ ถ้าใครชอบก็ไปได้

อาหารมื้อแรกที่เกาะล้าน
 เราตื่นกันแต่เช้ากะว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่หาด หาอยู่นานว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางไหน สรุปไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นที่หาด ต้องไปดูที่ท่าหน้าบ้าน เลยอดดูเลย จากนั้นเราก็ตระเวนเที่ยวหาดที่เหลือที่ไม่ได้ไปเมื่อวาน

หาดนวลในตอนเช้า คลื่นแรงมาก 

หาดตาแหวนวันเสาร์ คนเยอะมากผิดกันวันแรกที่มา
ทั้งๆที่เป็นหน้าฝนไม่น่าเชื่อว่าแดดจะแรงมาก หลังจากตระเวนเที่ยวกันจนครบทุกหาด ก็กลับมาอาบน้ำเก็บของเตรียมตัวกลับ ปรากฏว่าฝนดันตกซะนี่ นั่งรอจนฝนหยุด ก็ได้ฤกษ์กลับซะที โดยจะต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือหาดตาแหวนรอบ 4 โมงเย็น รอบที่ขึ้นเรือตรงท่าหน้าบ้านก็มีนะ โดยทางโฮมสเตย์ก็ขับรถไปส่งให้ที่หาด

ท่าเรืออยู่ไกลมาก
 ขากลับเผลอนั่งหลับบนเรือด้วย สงสัยจะหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเที่ยวไม่คุ้มเลย

กลับสู่ฝั่งพัทยา

พอมาถึงฝั่งก็เดินไปขึ้นรถตู้ตรงข้างๆร้านเซเว่น(มีอยู่ร้านเดียว) 97 บาทอย่างที่บอก มาส่งที่อนุเสาวรีย์ชัยฝั่งเซ็นจูรี่เหมือนเดิม

นับได้ว่าเกาะล้านเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกที่หนึ่ง สำหรับใครที่ไม่ค่อยมีเวลา(บวกไม่ค่อยมีตังค์) เพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก การเดินทางก็สะดวก ถ้ามีโอกาสก็ว่าจะไปอีกสับรอบ





วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

มือใหม่

เพิ่งเริ่มหัดเขียน blog ครั้งแรก คงต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยละทีนี้

ฉันเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ใช้ชีวิตนักศึกษาแบบเรียบง่าย

และปีนี้เป็นปีสุดท้ายของปริญญาตรี

ต้องผจญกับโปรเจคสุดทรหด ทรมานทั้งกายใจ

นับถอยหลังวันที่จะหลุดพ้น อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น

ก็จะต้องเริ่มก้าวใหม่ของชีวิตอีกครั้ง...